วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian Husky)

ลักษณะทั่ว
      ไซบีเรียน ฮัสกี หรือเรียกสั้นๆว่า ไซบีเรียน สุนัขขนาดกลาง ขนฟูแน่น แข็งแรง คล่องแคล่ว มีหน้าตาเป็นอาวุธ เพราะ หน้าดุ ทำให้คนสามารถกลัวได้ ลักษณะจะเหมือนหมาป่า แต่จริงๆแล้วไม่ดุอย่างหน้าตาหรอกนะ เป็นมิตรกับคนและเข้ากับคนได้ง่าย สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนนี้จะรู้จักกันดีในกีฬาลากเลื่อนที่เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยม

ความเป็นมา
     สุนัขทุกสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนาพันธุ์เป็นผลมาจากบรรพบุรุษเดียวกันนั่นคือ สุนัขป่าโบราณ(วงศ์ Canidae) สุนัขเอซคิโม(สุนัขลากเลื่อน)เป็นสุนัขที่มีภาพลักษณ์กระตือรือร้นอย่างไซบี เรียนฮัสกี้, ซามอย, และอลาสกันมาลามิว ที่สืบสายตรงจากสุนัขลากเลื่อน การวิเคราะห์ดีเอ็นเอที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้ช่วยยืนยันว่ามันเป็นหนึ่งใน สุนัขที่มีการเพาะเลี้ยงมาแต่โบราณดังที่เห็นได้จากอลาสกันมาลามิว คำว่า “ฮัสกี้(husky)” ได้มาจากชื่อที่ใช้เรียกชาวอินนูอิต(Inuit)ว่า”ฮัสกี้ส์(huskies)” โดยคณะสำรวจคนขาว(Caucasian)คณะแรกๆที่มาถึงแผ่นดินของพวกเขา ส่วนคำว่า “ไซบีเรียน(Siberian)” ได้มาจากไซบีเรียนั่นเองเนื่องจากความคิดที่ว่าสุนัขลากเลื่อนนี้ถูกใช้ใน การข้ามสะพานแผ่นดิน(landbridge)ของช่องแคบเบอร์ริ่งที่เป็นทางเข้าสู่หรือ ออกจากมลรัฐอะแลสกา, ซึ่งทฤษฎีนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่ผู้ที่ทำการศึกษาค้นคว้า สุนัขที่สืบเชื้อสายมาจากสุนัขเอซคิโมสามารถพบได้ตลอดซีกโลกด้านเหนือจาก ไซบีเรียถึงประเทศแคนาดา, มลรัฐอะแลสกา, กรีนแลนด์, ลาบราดอร์(Labrador), และเกาะบัฟฟินค์(Baffin Island)

ลักษณะนิสัย

       ไซบีเรียนเป็นสุนัขที่ฉลาด ไฮเปอร์ตื่นตัว พลังงานสูง สมาธิค่อนข้างสั้น รักอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เข้าขั้นเรียก่า ดื้อ ขี้บ่น ขี้เถียง ฝึกยาก เป็นนักทำลายข้าวของตัวยง แต่ไซบีเรียนเป็นน้องหมาที่เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ว่าจะคุ้นหน้า หรือแปลกหน้า ไหวพริบดี ฉลาดแกมโกง ซึ่งไหวพริบกับความฉลาดที่มีของพวกเขานั้นไม่ค่อยได้เอาไปใช้ประโยชน์สักเท่าไหร่ โดยส่วนมากจะเป็นเล่ห์เหลี่ยมเพื่อหาทางซุกซนเสียมากกว่า ไซบีเรียนฮัสกี้ชอบหอนมากกว่าเห่า จนกลายเป็นปัญหาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวและเพื่อนบ้าน พวกเขาค่อนข้างฝึกยาก จึงควรได้รับการฝึกอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำทุกวัน วันละ 10 - 15 นาที แต่ควรได้รับการออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันมากกว่า 15 นาที โดยการวิ่ง เพื่อให้พวกเขาได้เผาผลาญพลังงาน ไม่ซุกซนจนเกินควร

การดูแล

การให้อาหารสุนัขไซบีเรียนนั้น จะให้ 2-3 ครั้ง/วัน ได้ แต่สุนัขพันธุ์นี้จะค่อนข้างกินอะไรยากอยู่เช่นกันหากไม่ถูกปาก มันจะยอมอดอาหารได้ 3-4 วัน ดังนั้นวิธีการที่จะกระตุ้นความอยากอาหารได้คือการพาสุนัขไปออกกำลังกาย ส่วนของอาหารนั้นผู้เลี้ยงสามารถสามารถนำอาหารสำเร็จรูปมาผสมกับอาหารอื่นได้เพื่อเพิ่มรสชาติและอรรถรสในการกินมากขึ้น อาหารที่สุนัขไซบีเรียนโปรดปรานที่สุด คืออาหารที่มีปลาผสมอยู่ในอาหาร สุนัขจะกินหมดได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนเรื่องของการทำความสะอาดนั้น ไม่ควรอาบน้ำบ่อยเกินไป อาบ2-3 สัปดาห์ต่อครั้งก็พอ เพราะไซบีเรียนนั้นเป็นสุนัขสะอาด ไม่มีกลิ่นตัว หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สกปรกก็ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อยๆ ก็ได้ ที่สำคัญเวลาอาบน้ำต้องใช้แชมพูอาบน้ำสุนัขโดยเฉพาะ ควรมีความอ่อนโยนมากๆ และหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วจะต้องใช้ไดร์เป่าขนให้แห้งสนิท อาจใช้ระยะเวลานาน แต่เพื่อไม่ทำให้น้องไซบีเรียนเป็นโรคผิวหนัง

เรื่องของขนสุนัขไซบีเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้เลี้ยงควรใส่ใจ หากอยู่ในช่วงฤดูผลัดขนนั้น มันจะมีปริมาณขนที่ผลัดออกมาเยอะมากๆ ฉะนั้นผู้เลี้ยงควรจะต้องมั่นดูแล และแปรงขน เพื่อไม่ให้เกิดขนพันกัน ส่วนเรื่องของสุขภาพของสุนัขก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นและผู้เลี้ยงควรจะให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยสร้างสุขภาพที่ดีแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพจิตของสุนัขดีขึ้นด้วย ควรใช้เวลาการออกกำลังกาย 15 นาที/วัน ดีที่สุดและทำทุกๆวัน

ผู้เลี้ยงจะต้องทราบว่าหากไม่ได้พาสุนัขไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไซบีเรียนจะกลายเป็นตัวยุ่ง ก่อความรำคาญในทันที เพราะมันจะเกิดความเบื่อหน่าย จึงต้องหาอะไรทำเพื่อลดออาการเบื่อหน่ายลงไป อีกทั้งการออกกำลังกายยังเป็นการช่วยกนะตุ้นให้ไซบีเรียนนั้นอยากอาหารไปในตัวอีกด้วย

ที่มา 
https://www.dogilike.com
http://www.moemay.com/dogs/khxmul-sunakh-phanthu-tang/siberian-husky

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

สุนัข ชิสุ


สุนัข พันธุ์ ชิสุ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เพราะภาพลักษณ์หมาน้อยตากลมโต  ผูกโบว์ที่หน้าผาก มีขนยาวสวย ดูสง่างาม ขนาดพอเหมาะ พาไปไหนมาไหนได้ไม่ลำบาก แถมยังนิสัยเป็นมิตร ขี้เล่น และช่างประจบ เลยทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยหลงใหลได้ปลื้มเจ้าสุนัขพันธุ์ "ชิสุ" และเลี้ยงเป็นสมาชิกสี่ขาประจำครอบครัวกันอย่างแพร่หลาย แต่รู้ไหมว่าประวัติความเป็นมาของ สุนัข ชิสุ น่ะ เป็น ถึง 1 ใน 3 สุนัข ชั้นสูงจากจักรพรรดิจีนเชียวนะ
           ทั้งนี้ บรรพบุรุษของ สุนัข ชิสุห์ นั้น มีการคาดเดาว่ามีต้นกำเนิดจากทิเบต เนื่องจากตามประวัติศาสตร์ของชาวทิเบตถือว่าสิงโตเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนา พระชาวทิเบต (Lama) จึงได้ผสม สุนัข พันธุ์เล็กขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิงโต ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าลักษณะขนแผงคอของ ชิสุ จะเหมือนกับสิงโต อีกทั้งท่าทางการเดินหรือการเคลื่อนไหวก็แลดูสง่างาม และชื่อ "ชิสุ" (Shih Tzu) ซึ่งเป็นคำในภาษาจีน ก็แปลว่า สิงโต ด้วย

           ต่อมาทิเบตได้ส่ง สุนัข ชิสุ มาเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการแก่จักรพรรดิราชวงศ์ชิง ราชวงศ์สุดท้ายของจีน  ซึ่งพระนางซูสีไทเฮา ทรงโปรดการเลี้ยง สุนัข มาก โดยมี สุนัข พันธุ์ปักกิ่ง ปั๊ก และชิสุ ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากพระองค์ ชนิดหรูหราและฟุ่มเฟือย ในอดีตจึงเป็นที่รู้กันดีว่า ชิสุ เป็น สุนัข ที่มีชนชั้น  นิยมเลี้ยงกันเฉพาะในราชสำนักของและนับเป็นสิ่งสูงค่าสำหรับสามัญชน 
           ในปี ค.ศ.1908  เมื่อพระนางซูสีไทเฮาสิ้นพระชนม์ สุนัข ชิสุ ทรงเลี้ยงในพระราชวังก็กระจัดกระจายหายไป แต่ก็มี ชิสุ บางส่วนที่ถูกลักลอบนำไปผสมข้ามสายพันธุ์ ทำให้ ชิสุ ขยายพันธุ์ไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในอังกฤษ และทั่วยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเป็นสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงกันถึงปัจจุบัน  เนื่องจาก ชิสุ เป็น สุนัข พันธุ์เล็ก อีกทั้งมีของลักษณะขนและหน้าตา ที่จะสร้างความเพลิดเพลินในการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบแต่งตัวให้ สุนัข แต่คงไม่เหมาะนักสำหรับเจ้าของที่ไม่มีเวลา

ลักษณะทั่วไปของ สุนัข ชิสุ
           ชิสุ เป็น สุนัข ขนาดเล็กในกลุ่มทอย (Toy Group) มีน้ำหนักประมาณ 4.5 - 7.5 กิโลกรัม (หรือราว 10 - 16 ปอนด์) ส่วนสูงประมาณ 25 - 27 ซม. (หรือราว 10 - 11 นิ้ว) ทั้งนี้ ชิสุ มีลักษณะนิสัย กล้าหาญ มีความตื่นตัว ขี้ประจบ มีความสง่าอยู่ในตัว เดินหน้าเชิด การย่างก้าวสง่าผ่าเผย นอกจากนี้ ชิสุ ยังรักความสะอาด เป็นมิตรกับทุกคน ปรับตัวได้ดี และชอบที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ กับเจ้าของในทุกเรื่อง แล้วก็ไม่ชอบถูกทิ้งไว้ในบ้าน

           ข้อบกพร่องของสายพันธุ์ ชิสุ
           ข้อบกพร่องของ ชิสุห์ ที่จัดว่าร้ายแรงตามมาตรฐานของ AKC : American Kennel Club (สมาคมสุนัขแห่งสหรัฐอเมริกา) ที่ยอมรับกันทั่วโลก มีดังนี้

            - ศีรษะแคบเกินไป
            - ฟันบนเกยฟันล่าง
            - ขนสั้น หรือขนที่ได้รับการขลิบให้สั้น
            - จมูกหรือหนังบริเวณขอบตาสีชมพู
            - ดวงตามีขนาดเล็กหรือมีสีจาง
            - ขนบาง ไม่ดกหนา
            - มุมหักตรงช่วงรอยเชื่อมระหว่างจมูกและหน้าไม่เด่นชัด

อาหารและการเลี้ยงดู สุนัข ชิสุ

           ชิสุห์ มีอายุค่อนข้างยืนยาว คือประมาณ 10-18 ปี ตามแต่ปัจจัยต่างๆ เช่น อาหาร และการเลี้ยงดู โรคที่มักเกิดขึ้นกับ ชิสุ คือโรคตาแห้ง โรคหูน้ำหนวก หูอักเสบ โดยเจ้าของควรหมั่นทำความสะอาดตาและหูของ ชิสุ อย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของมันโดยเฉพาะ ส่วนโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับ ชิสุ ได้ เช่น โรคนิ่ว โรคไต และไส้เลื่อน

           ปกติ ชิสุห์ จะเป็นมิตรกับคน นิ่งและดูสงบ ดูจะเป็น สุนัข อารมณ์ศิลปินซะด้วย หลายครั้งที่พบว่า ชิสุ จะไม่เชื่อฟังเราถ้ามันไม่อยากทำซะอย่าง อย่างไรก็ตาม ชิสุ ก็ชอบวิ่งและรักความสนุกซึ่งเจ้าของจำเป็นจะต้องพามันออก ไปวิ่งออกกำลังกายบ้าง

           นอกจากนี้ ขนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความสวยงามของ ชิสุ โดยเฉพาะ ชิสุห์ เป็น สุนัข ขนยาว ที่จะต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากมีขนเส้นเล็กและพันกันได้ง่าย หากไม่รู้จักวิธีการรักษาขนให้ดี ขนของ ชิสุ จะพันกันและมีโอกาสเป็นโรคผิวหนังได้ง่ายๆ 
           ทั้งนี้ การแปรงขนอย่างสม่ำเสมอทุกวันจะช่วยให้ผิวหนังและขนสะอาดของ ชิสุ เป็นเงางาม เพราะมีการนวดให้ต่อมน้ำมันที่โคนขนขับน้ำมันออกมาเคลือบเส้นผมได้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพสมบูรณ์ และยังเป็นการช่วยขจัดรังแคและสิ่งสกปรกอื่นออกจากผิวหนังของ ชิสุ ด้วย

           อาหารที่เหมาะกับเจ้า ชิสุ สุดสวย ควรเป็นอาหารเม็ดมากกว่าอาหารกระป๋อง เพราะ สุนัข มีขนยาว หากให้กินอาหารกระป๋องจะทำให้เลอะหนวดเครา เหม็นคาว ทำให้ต้องทำความสะอาดกันทุกครั้งไป และหากล้างออกไม่หมดก็จะกลายเป็นที่สะสมของเชื้อโรค อีกทั้งถ้าให้อาหารกระป๋องต้องใช้ให้หมดในคราวเดียว ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงต่อสุขภาพของ  ชิสุ ของคุณได้
           ดังนั้น ทางเลือกที่เหมาะที่สุดเห็นจะเป็นอาหารเม็ด ทั้งนี้ การเลือกซื้อควรเลือกประเภทสำหรับ สุนัข พันธุ์เล็ก  โดยเลือกดูให้เหมาะกับช่วงวัยของ ชิสุ ด้วย เช่น ถ้าเป็นอาหารลูก สุนัข ข้างถุงจะพิมพ์ไว้ว่า Puppy มีโปรตีนมากกว่า เม็ดจะเล็กกว่า และจะแพงกว่าอาหาร สุนัข โตนิดหน่อย

           อย่างไรก็ตาม อาหารปรุงเองก็สามารถให้ ชิสุ ได้ แต่ควรดูความเหมาะสมของสารอาหารที่ให้ และการสร้างอุปนิสัยที่ดี  เพราะหากให้กินพร่ำเพรื่อ สุดท้ายเจ้า ชิสุ ตัวโปรดของคุณก็จะติดนิสัยขออาหารที่ครั้งที่เห็นคนกิน ดังนั้นต้องใจแข็งไว้นะคะ ควรให้อาหารเป็นเวลาจะดีกว่า แล้ว ชิสุห์ ของคุณไม่มีปัญาหาสุขภาพตามมาด้วย

โรคและวิธีการป้องกัน

            โรคตาแห้ง เป็นโรคที่มักเกิดกับ สุนัข ชิสุห์ เพราะมีดวงตากลมโต ลูกตาเปิดกว้าง ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย อีกทั้งยังมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุกับดวงตาด้วย ทั้งนี้ อาการของโรคตาแห้ง คือน้ำตาน้อย ก็ต้องรักษาด้วยการหยอดตาต่อเนื่อง อาจจะนานๆ ครั้ง หรือไม่ก็ตลอดชีวิต สำหรับการดูแลรักษา อย่างแรกเลยผู้เลี้ยง ควรเจ้าของควรหมั่นทำความสะอาดตาอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโดยเฉพาะ และเมื่อเห็นความผิดปกติของลูกตาให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะ ถ้าทิ้งไว้นาน อาจทำให้ติดเชื้อ แก้วตาละลาย ถึงขั้นตาบอดได้ อีกอย่างถ้าพามาตั้งแต่แรกเริ่มก็จะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่สูงมากนัก

           โรคหูน้ำหนวก หูอักเสบ ส่วนใหญ่เป็นการอักเสบของช่องหูภายนอกที่เรียกว่า "otitis externa" เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาการของ สุนัข ชิสุ ที่ป่วยหูอักเสบ ได้แก่ มีกลิ่นเหม็น ชอบเกาหู หรือเอาหู (หัว) ไปถูกับวัตถุ ช่องหู หรือใบหูมีสีแดง หรือบวม ในบางตัวอาจมีสิ่งคัดหลั่งออกมาจากช่องหู ฯลฯ

           สำหรับวิธีการป้องการที่ดีที่สุด คือการรักษาความสะอาด ควรตรวจสอบช่องหูของ สุนัข ชิสุห์ ทุกสัปดาห์ สุนัข บางตัวมีขี้หูน้อย บางตัวก็มีมาก แตกต่างกันไป ควรใช้สำลีหรือผ้านิ่มๆ เช็ดบริเวณรูหูส่วนนอก และใบหูเป็นประจำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ถ้าพบว่า สุนัข ของคุณสะบัดหู หรือเกาหูบ่อย ก็ให้นำไปพบสัตวแพทย์ เพราะอาจมีแมลงเข้าหูหรืออาจเกิดโรคหูอักเสบขึ้น

           นอกจากนี้ ชิสุห์ ยังมีโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น โรคนิ่ว โรคไต โรคผิวหนัง และไส้เลื่อน ทางที่ดีผู้เลี้ยงควรฉีดวัคซีนให้ สุนัข ตามกำหนดให้ครบ และใส่ใจเรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย และหากผิดความผิดปกติใดๆ ก็ตามควรรีบพา สุนัข แสนรักไปพบแพทย์เพื่อได้รรับการวินัจฉัยและการรักษาที่ตรงจุดต่อไป


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- kapank.com
- lovedoghouse.com
- vet4polyclinic.com
- vet.ku.ac.th- คู่มือการเลี้ยงสุนัขชิสุ โดย อ.บัณฑิตย์ สุริยพันธ์

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุนัขบางแก้ว


ประวัติและความเป็นมาของ   สุนัขบางแก้ว

              สุนัขไทยพันธุ์เดียวในประเทศไทยที่มีขนยาวสองชั้นหางเป็นพวง มีขน ขาหน้าคล้ายขนขาแข้งสิงห์   แผงรอบคอคล้ายสิงโตมีความเฉลียว ฉลาด ไอคิวสูง ประวัติความเป็นมา ของ สุนัขไทยพันธุ์ บางแก้ว
 จากข้อมูล ที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านบางแก้วต.บางแก้ว บ้านชุมแสสงคราม ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วนั้นอยู่ที่ วัดบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็น ป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย ของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมู่ป่า ไก่ป่า สุนัขจิ้งจอก และหมาไน

        เหตุผล  ที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด พื้นที่ในเขต ต.บางแก้ว ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดรวม ทั้งสุนัขจิ้งจอก  และหมาไนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้กจอกและหมาไนตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัขไทยตัวเมีย  ที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวเพราะสุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง เมื่อมีการผสมข้ามพันธุ์กันตามธรรมชาติหรือ   เรียกง่ายๆว่าธรรมชาติเป็นผู้ผสม และคัดเลือกพันธุ์ในที่สุดก็ได้สุนัข ไทยพันธุ์บางแก้ว ซึ่งมีลักษณะดีเด่นปรากฎโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้ายอานม้า หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงห์โต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ
                 หลวงพ่อมาก เมธาวี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดบางแก้ว ที่วัดของท่านเลี้ยง สุนัขไว้ไม่ต่ำกว่า  20-30 ตัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ดุขึ้นชื่อลือชา และชาวบ้านทราบกันดีว่า ใครที่เข้ามาในวัด หรือมีธุระปะปังผ่านไปผ่านมาที่วัดแต่ละครั้งจะต้องตะโกนให้เสียงแต่ไกล ๆ เพื่อให้พระอาจารย์มาก เมธาวี ท่านช่วยดูหมาเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นจะถูกมันไล่กัดเอากระจุย กระเจิงแน่นอน ด้วยกิติศักดิ์ในความดุของ สุนัขที่วัดบางแก้วนี้เองจึงมีผู้คนนิยมมาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้ เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เฝ้าเรือ เฝ้าแพ เฝ้าวัว เฝ้าควาย พื้นที่ ๆ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วได้ขยายพันธุ์ไปมากที่สุดก็คือ ต.บางแก้ว ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไป หลายจังหวัดแล้ว เนื่องด้วยบริเวณวัดบางแก้วในสมัยนั้นมีลักษณะรอบ ๆ  เป็นป่า มีสัตว์ป่าอาศัยค่อยข้างชุกชุม    จนกระทั้งสุนัขตัว  นั้นได้คลอดลูกออกมา  ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากสุนัขอื่นๆ  ที่มีอยู่ในวัดทั่วไป  คือมีขนยาวฟู  คล้ายสุนัขต่างประเทศ  มีลักษณะสวยงาม  โดดเด่นน่าเลี้ยง  และมีความดุ  จากนั้นสุนัขแบบนี้ก็มีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ในวัดบางแก้ว  จนประชาชนที่ไปวัด  นั้นเห็นถึงความสวยงาม  ฉลาด  หวงของ  และดุ  มีความซื่อสัตย์ และภักดีต่อผู้เป็นเจ้าของ  จึงขอสุนัขจากท่านหลวงปู่มากมาเลี้ยง   เพื่อใช้ในการเฝ้าบ้าน  เฝ้าแพ  หรือแม้กระทั้งเฝ้าท้องไร่ ท้องนาเพราะความหวงของและซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนาย
                
สุนัขชนิดนี้จึงแพร่ขยายออกไปทั่วหมู่บ้าน  และด้วยเหตุปัจจัยที่หมู่บ้านบางแก้วนั้นมีภูมิประเทศเป็นเกาะในช่วงฤดูน้ำหลากโดยมีแม่น้ำล้อมรอบ  และประจวบกับในช่วงดังกล่าวก็เป็นช่วงที่สุนัขนั้นเป็นสัดพอดี  สุนัขนั้นไปสามารถออกไปผสมกับสุนัขในถิ่นอื่นได้  จึงเกิดการผสมพันธุ์กันเองภายในเครือญาติเดียวกันหลายต่อหลายช่วงอายุ  จนเกิดเป็นสุนัขที่มีลักษณะที่มีลักษณะเฉพาะ  มีลักษณะต่างๆชัดเจนแตกต่างจากสุนัข พื้นบ้านโดยทั่วไป
               จากนั้นเมื่อมีผู้เข้าไปพบเห็น  เกิดการชื่นชอบจึงนำออกมาเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในเมืองพิษณุโลก  และเรียกสุนัขดังกล่าวว่า “สุนัขบางแก้ว” ตามถิ่นกำเนิดของสุนัขนั้น    เมื่อเกิดความนิยมของคนเลี้ยงทั่วไปในเมืองพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง    จึงมีการรวมกลุ่มกันขึ้นของผู้ที่เลี้ยงสุนัขบางแก้ว  ผู้ที่ชื่นชอบ  และหน่วยงานของรัฐ  เพื่อจะพัฒนาสุนัขบางแก้วให้มีมาตรฐาน  จากนั้นราวปี พ.ศ. 2500  จึงมีการกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ของสุนัขบางแก้วขึ้นมาเป็นครั้งแรก  และมีการคัดเลือกพ่อพันธุ์  แม่พันธุ์  ที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้นมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาสุนัขบางแก้ว  รวมถึงการให้ความรู้ในการเลี้ยงการให้ยากับผู้เลี้ยง จากหน่วยงานของรัฐ  ทำให้สุนัขบางแก้วมีอัตราการรอดมากยิ่งขึ้น    ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ  อย่างของสุนัขบางแก้วที่มีความโดดเด่นต่อผู้ที่พบเห็น  รวบถึงผู้ที่เลี้ยงไว้  ทำให้สุนัขบางแก้วกายเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบเลี้ยงสุนัขทั่วไป  ด้วยความจงรักภักดี  ซื่อสัตย์  รักเจ้าของ  เฝ้าระวังภัยให้กับบ้านเรือนอย่างไว้ใจได้เป็นอย่างดี

              สุนัขไทยบางแก้ว  มีจุดกำเนิดอยู่ที่ วัดบางแก้ว บ้านบางแก้ว ต.ท่านางงาม  อ.บางระกำ  จ.พิษณุโลก  ในช่วงสมัยหลวงปู่มาก  เป็นเจ้าอาวาสรุ่นที่ 3  ของวัดบางแก้ว  ท่านเป็นผู้มีความเมตตาต่อสัตย์  และเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นจำนวนมากมายหลายชนิด  ทั้งสัตว์บ้านและสัตว์ป่า  รวมทั้งสุนัขด้วย  ซึ่งสุนัขที่ท่านเลี้ยงนั้นไม่มีการกล่าวกันมาว่าเป็นสุนัขสายพันธุ์ใดอย่างชัดเจน  แต่ตามเรื่องเล่าสืบต่อกันมานั้นท่านมีสุนัขสีดำขนยาวเพศเมียตัวหนึ่ง  เมื่อเป็นสัดในฤดูผสมพันธุ์ได้เข้าไปในแนวป่ามีการสันนิฐานว่าไปผสมกับหมาป่า  เนื่องด้วยบริเวณวัดบางแก้วในสมัยนั้นมีลักษณะรอบ ๆ  เป็นป่า มีสัตว์ป่าอาศัยค่อยข้างชุกชุม    จนกระทั้งสุนัขตัว  นั้นได้คลอดลูกออกมา  ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากสุนัขอื่นๆ  ที่มีอยู่ในวัดทั่วไป  คือมีขนยาวฟู  คล้ายสุนัขต่างประเทศ  มีลักษณะสวยงาม  โดดเด่นน่าเลี้ยง  และมีความดุ  จากนั้นสุนัขแบบนี้ก็มีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ในวัดบางแก้ว  จนประชาชนที่ไปวัด  นั้นเห็นถึงความสวยงาม  ฉลาด  หวงของ  และดุ  มีความซื่อสัตย์ และภักดีต่อผู้เป็นเจ้าของ  จึงขอสุนัขจากท่านหลวงปู่มากมาเลี้ยง   เพื่อใช้ในการเฝ้าบ้า เฝ้าแพ หรือแม้กระทั้งเฝ้าท้องไร่ ท้องนาเพราะความหวงของและซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนาย
            สุนัขชนิดนี้จึงแพร่ขยายออกไปทั่วหมู่บ้าน  และด้วยเหตุปัจจัยที่หมู่บ้านบางแก้วนั้นมีภูมิประเทศเป็นเกาะในช่วงฤดูน้ำหลากโดยมีแม่น้ำล้อมรอบ  และประจวบกับในช่วงดังกล่าวก็เป็นช่วงที่สุนัขนั้นเป็นสัดพอดี  สุนัขนั้นไปสามารถออกไปผสมกับสุนัขในถิ่นอื่นได้  จึงเกิดการผสมพันธุ์กันเองภายในเครือญาติเดียวกันหลายต่อหลายช่วงอายุ  จนเกิดเป็นสุนัขที่มีลักษณะที่มีลักษณะเฉพาะ  มีลักษณะต่างๆชัดเจนแตกต่างจากสุนัข พื้นบ้านโดยทั่วไป
               จากนั้นเมื่อมีผู้เข้าไปพบเห็น  เกิดการชื่นชอบจึงนำออกมาเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในเมืองพิษณุโลก  และเรียกสุนัขดังกล่าวว่า “สุนัขบางแก้ว” ตามถิ่นกำเนิดของสุนัขนั้น    เมื่อเกิดความนิยมของคนเลี้ยงทั่วไปในเมืองพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง    จึงมีการรวมกลุ่มกันขึ้นของผู้ที่เลี้ยงสุนัขบางแก้ว  ผู้ที่ชื่นชอบ  และหน่วยงานของรัฐ  เพื่อจะพัฒนาสุนัขบางแก้วให้มีมาตรฐาน  จากนั้นราวปี พ.ศ. 2500  จึงมีการกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ของสุนัขบางแก้วขึ้นมาเป็นครั้งแรก  และมีการคัดเลือกพ่อพันธุ์  แม่พันธุ์  ที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้นมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาสุนัขบางแก้ว  รวมถึงการให้ความรู้ในการเลี้ยงการให้ยากับผู้เลี้ยง จากหน่วยงานของรัฐ  ทำให้สุนัขบางแก้วมีอัตราการรอดมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ  อย่างของสุนัขบางแก้วที่มีความโดดเด่นต่อผู้ที่พบเห็น  รวบถึงผู้ที่เลี้ยงไว้  ทำให้สุนัขบางแก้วกายเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบเลี้ยงสุนัขทั่วไป ด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ  เฝ้าระวังภัยให้กับบ้านเรือนอย่างไว้ใจได้เป็นอย่างดี



อ้างอิงจาก http://baanbangkaew.com/

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

พันธุ์ปอมเมอเรเนียน
             ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขที่อยู่ในตระกูล spitz ชื่อของมันมาจาก Pomerania ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์และประเทศเยอรมันตะวันออก

 



 ต้นตระกูล

            ปอมเมอเรเนียนมีต้นตระกูลมาจากสุนัขลากเลื่อนของประเทศไอซ์แลนด์และบริเวณตอนเหนือของทวีปยุโรป ซึ่งในที่สุดก็ใด้ถูกนำเข้ามาในยุโรป ณ Pomerania ซึ่งบริเวณด้านเหนือถูกล้อมรอบด้วยทะเลบอลติกและบ่อยครั้งอยู่ภายใต้การควบคุมของ Celts, Slavs, ประเทศโปแลนด์, ประเทศสวีเดน, ประเทศเดนมาร์ก และปรัสเซีย พื้นที่ส่วนนี้ขยายจากตะวันตกของเกาะรูเกน (Rügen) ไปจนถึงแม่น้ำ Vistula ซึ่งที่นั่นปอมเมอเรเนียนได้เป็นทั้งสัตว์เลี้ยงและสุนัขใช้งาน ชื่อ Pomore หรือ Pommern แปลว่า "บนทะเล" ได้ถูกตั้งขึ้นประมาณช่วงของ Charlemagne

ประวัติ

            ผู้ผสมพันธ์สุนัขใน Pomerania ได้พัฒนาขนและผสมพันธุ์สุนัขเหล่านี้ให้เหมาะสำหรับการดำรงชีวิตในเมืองแต่พวกมันก็ยังหนักกว่า 20 ปอนด์ตอนที่พวกมันมาถึงประเทศอังกฤษ
ผู้ผสมพันธุ์ชาวอังกฤษหลังจากผ่านการลองผิดลองถูกและใช้ทฤษฎีของเกรเกอร์ เมนเดลเป็นพวกที่ได้ชื่อเสียงสำหรับการลดขนาดของสุนัขและพัฒนาให้มีหลายสี ขนาดที่เล็กของปอมเมอเรเนียนในวันนี้มาจากการเลือกเฟ้นสายพันธุ์แต่สายพันธุ์นั้นก็ยังคงนิสัยอดทนและขนหนาของสุนัขในเขตหนาว
Puppy's
Puppy's
        Queen Charlotte เป็นคนแรกที่นำปอมเมอเรเนียนเข้ามาสู่คนชั้นสูงของอังกฤษ อย่างไรก็ตามปอมได้รับความโด่งดังอย่างสากลเมื่อหลานสาวของนาง สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ได้เสด็จกลับมาจากพักร้อนใน Florence, ประเทศอิตาลีกับปอมเมอเรเนียนชื่อ Marco
(ข้อควรสังเกตว่าสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนที่มีอยู่ในสมัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่งศตวรรษที่ 19 สุนัขของ     
   Queen Charlotte และ สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร นั้นล้วนแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามากและเป็นสายพันธุ์ European Spitz หรืออาจจะเป็น German Spitz ไม่ก็ Volpino Italiano และไม่ต่างจากผู้ที่เลี้ยงปอมในสมัยก่อนศตวรรษที่ 19)
ญาติที่ใกล้เคียงที่สุดของปอมคือ Norwegian Elkhound, the Samoyed, the Schipperke และ พวก Spitz ทั้งหมด

รูปร่างหน้าตา

     น้ำหนักเฉลี่ย 3-7 ปอนด์(1.4-3.2 กิโลกรัม) อ้างอิงจากมาตรฐาน AKC ปอมเป็นสายพันธุ์ที่เล็กที่สุดของแถบเหนือศีรษะของปอมเมอเรเนียนมีลักษณะเป็นลิ่มทำให้มันดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก หูเล็กและชี้ขึ้น หางของมันเป็นลักษณะพิเศษของสายพันธุ์และต้องพลิกกลับขึ้นไปบนหลังและแบนสูง
A "parti-color" Pomeranian
A "parti-color" Pomeranian
         ปอมมีชื่อเสียงที่ขนของมัน มันมีขนสองชั้น ชั้นข้างใต้แล้วชั้นบน; ชั้นแรกจะหนานุ่มและฟูฟ่อง ส่วนชั้นที่สองจะยาวตรงและหยาบ ชั้นข้างใต้จะผลัดขนปีละครั้งสำหรับตัวผู้โดย และตัวเมียที่สมบูรณ์ในระหว่างการผสมพันธุ์, ออกลูก และช่วงที่มันเครียด
ตามมาตรฐานของ AKC ปอมนั้นมีสิบสามสีหรือสีที่ผสมกันได้แก่ black, black & tan, blue, blue & tan, chocolate, chocolate & tan, cream, cream sable, orange, orange sable, red, red sable, and sable สุนัขที่มีตั่งแต่สองสีขึ้นไป(โดยทั่วไปจะสีขาวและสีอื่น) จะเรียกว่า"Parti-Color" และ AKC ก็ยังนับอีกนับอีกห้าสีอย่างไม่เป็นทางการโดยมีสี Beaver, brindle, chocolate sable, white, and wolf sable
            มาตรฐานของสายพันธุ์เป็นที่มาของ Cobby (สุนัขที่มีความลงตัว) สุนัขเหล่านี้จะมีความสั้นหรือยาวเท่ากันความสูงของมัน ลองนึกภาพวงกลมในสี่เหลี่ยมจตุรัส ปอมเหล่านี้จะมีสัดส่วนที่สอดคล้องและลงตัว ยกตัวอย่างเช่นปอมตัวเล็กบอบบางแต่หัวใหญ่จะดูไม่ลงตัวเพราะหัวจะไม่สอดคล้องกับตัว ปอมที่มีความสมดุลจะมีขาที่เข้าสัดส่วนกับตัว ไม่สั้นจนทำให้ดูเงอะงะ หรือยาวจนทำให้ดูเหมือนเดินบนเสาค้ำ
มาตรฐานนี้ยังสื่อไปให้เห็นซึ่งการแสดงออกถึงความแสนรู้ แสดงให้เห็นว่าปอมนั้นมีลักษณะนิสัยที่ตื่นตัวและประพฤติตัวอย่างเหมาะสม ลักษณะนิสัยที่ตื่นตัวของปอมทำให้มันเป็นสุดยอดของสุนัขเฝ้าบ้าน
Black & White Pomeranian
Black & White Pomeranian

อุปนิสัย

       ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขที่คล่องแคล่วและเฉลียวฉลาดมาก กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนของมัน ปอมเมอเรเนียนอาจจะมีการตอบสนองที่ไม่ค่อยดีกับเด็กๆ และเนื่องจากที่มันมีขนาดเล็กมันอาจถูกข่มเหงโดยเด็กๆปอมเมอเรเนียนสามารถถูกฝึกให้เป็นสุนัขเฝ้าเวรยามโดยการเตื่อนให้รู้ถึงผู้บุกรุกด้วยเสียงเห่าที่ดังและแหลม โชคไม่ดีที่สุนัขเหล่านี้ขาดการฝึกจึงกลายเป็นที่เลื่องลือเรื่องการเห่าอย่างไม่มีเหตุผลและต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลนี้สุนัขเหล่านี้จึงสามารถเป็นเพื่อนที่สร้างความเครียดให้แก่ผู้ที่ไม่ชินกันธรรมชาติของเสียงของมันปอมเมอเรเนียนสามารถปรับตัวอย่างง่ายดายให้เข้ากับชีวิตในเมืองและเป็นสุนัขที่ดีเยี่ยมสำหรับชนบทด้วยสัญชาตญาณนักล่าที่ดีที่มันได้รับมาจากบรรพบุรุษของมัน

สุขภาพ

          ปอมเมอเรเนียนโดยทั่วไปจะแข็งแรง,ทรหด และมีสายพันธุ์ที่อายุยืน — ปอมมักจะมีอายุตั่งแต่ 12 ถึง 14 ปีโดยประมาณ
        ปัญหาที่มักพบบ่อยในปอมเมอเรเนียนคือ Luxating patella เช่นเดียวกับ Legg-Calvé-Perthes syndrome และ Hip dysplasia สามารถเกิดขึ้นได้แต่จะพบน้อยกว่าในสายพันธุ์เล็ก Patent ductus arteriosus(โรคหัวใจ)และ Tracheal collapse ได้กลายเป็นปัญหาที่ซีเรียสสำหรับปอม ตาแห้ง,ท่อน้ำตาผิดปกติและโรคต้อซึ่งสามารถเกิดขึ้นในวัยเล็กและบ่อยครั้งที่ทำให้ตาบอด โรคผิวหนังเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยโดยเฉพาะการแพ้(ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่โรคผิวหนังอักเสบอย่างรุนแรง) และ Follicular dysplasia ปัญหาอื่นๆที่มักเกิดเป็นประจำรวมไปถึง Hypothyroidism, Epilepsy และ Hypoglycemia ในบางโอกาส Hydrocephalus สามารถเกิดขึ้นในปอมตอนยังเล็กๆ ปอมเหมือนกับสายพันธุ์ทอยอื่นๆคือจะมีแนวโน้มที่มีฟันไม่ดีและการจามเข้าอย่างต่อเนื่องที่ไม่เป็นอันตราย

 เคล็ดลับการทำความสะอาด

             การดูแลขนของปอมเมอเรเนียนคล้ายๆกับพันธุ์ปักกิ่ง การแปรงขนทุกวันหรืออาทิตย์ละสองครั้งเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะให้ขนที่หนาและสวยไม่พันกัน ขนของปอมเมอเรเนียนต้องการการเล็มบ้างแค่ครั้งคราว การหวีนั้นไม่ค่อยจำเป็นและในบางครั้งไม่จำเป็นเลย การดูแลหูและเล็บเป็นประจำเป็นสิ่งที่แนะนำรวมกับการอาบน้ำในช่วงกลางฤดู อย่างไรก็ตามไม่ควรอาบน้ำให้ปอมบ่อยมากจนเกินไปเพราะการอาบน้ำบ่อยจะทำให้หนังและขนเสียหายโดยการล้างน้ำมันที่จำเป็นออกไป ปอมเมอเรเนียนมีปัญหาเกี่ยวกับฟันดังนั้นจึงแนะนำให้แปรงฟันให้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยจริงๆแล้วควรจะแปรงทุกๆวัน
สวัสดีครับ